ประเด็นน่ารู้ภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World จูราสสิค เวิลด์ ที่นำมาให้อ่านกันวันนี้ สรุปย่อเรื่องราว เมื่อครั้ง Jurassic Park (1993) ที่ใช้ทุนสร้างในยุคนั้น 63 ล้านเหรียญ เพื่อสร้างไดโนเสาร์สู่จอภาพยนตร์อย่างมหัศจรรย์ สิ่งดีงามหลักๆมาจากหนังสือของ Michael Crichton (ที่ดูแลบทภาพยนตร์ด้วยตนเอง) เกี่ยวกับการที่มนุษย์ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า ด้วยการใช้อำนาจเงินและความรุ้วิทยาศาสตร์ คืนชีพเหล่าไดโนเสาร์มาอยู่ในสวนสัตว์สุดหรรษา การดำเนินเรื่องมีตัวละครที่สอดแทรกแง่มุมที่ชัดเจนทั้ง John Hammond (รับบทโดย Richard Attenborough) มหาเศรษฐีเจ้าของพาร์คที่เป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่คิดว่าการสานฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง จะนำพาสถานการณ์เลวร้ายบังเกิดขึ้น นอกจากนี้บรรดาด็อกเตอร์อย่าง Alan Grant (รับบทโดย Sam Neill), Ellie Sattler (รับบทโดย Laura Dern) และ Ian Malcolm (รับบทโดย Jeff Goldblum) ผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนง (ละเอียดขนาดมีฉากล้วงกองอุจจาระไดโนเสาร์เพื่อหาสาเหตุอาการป่วย) มอบสาระและการใคร่ตัดสินใจในการรับรองพาร์คแก่ผุ้ชมอย่างดี ด้านเด็กสองพี่น้อง Lex กับ Tim Murphy ก็สร้างสีสันและมีส่วนในการเล่าเรื่องไม่แพ้กัน (ลองหลับตาก็นึกภาพหนีตายในห้องครัวกันได้)
ด้วยฝีมือการกำกับของ Steven Spielberg ทุกนาทีมีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องราวและให้ฉากน่าจดจำมากมาย อารมณ์ในหนังไม่ว่าจะคอมเมดี้ ดราม่า ผจญภัย ระทึกขวัญ อยู่ในระดับลงตัวและเปี่ยมด้วยชั้นเชิง จากจังหวะในการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมของพ่อมดฮอลลีวู้ด คือจะดราม่า-คอมเมดี้ก็ไม่โยนเข้ามาจนรุ้สึกยัดเยียด หรือจะตื่นเต้นก็ไม่จำเป็นต้องโฉ่งฉ่าง (หลายคนคงจำช็อตน้ำในแก้วสั่นกระเพื่อมๆ จากแรงสะเทือนในการเปิดตัว T-Rex ได้แน่นอน) ส่วนตัวแสบ Raptor ก็จะบิ้ลทีละน้อยเป็นช่วงๆก่อนจะเปิดตัวเช่นกัน เป็นการหยอกเย้าจินตนาการของคนดูอย่างมีลีลาในแบบงานของผุ้กำกับยุคก่อน ประเด็นสำคัญที่ตอกย้ำมาทั้งเรื่องอย่างความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ในมุมหนึ่งอาจนำซึ่งหายนะและความสูญเสียเช่นกัน หากอยู่ในมือของคนที่นำมาใช้ด้วยความยะโสโอหัง ไม่ไตร่ตรองถึงผลกระทบที่ตามมา ..ด้วยความพร้อมสรรพดังกล่าว Jurassic Park จึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งรายได้ที่ทำเงินเป็นสถิติสูงสุด 914 ล้าน (ย้ำว่าในยุคนั้นนะ รอจนปี 1997 ถึงมี Titanic มาโค่นได้) ด้านคำวิจารณ์หนังเข้าชิงออสการ์สามตัว และคว้าไปได้ทั้งหมดในสาขา Sound Effects, Visual Effects และ Best Sound ครับ…. [คะแนน B+]
ผ่านมาเนิ่นนานจากภาคแรกถึง 22 ปี ก็ถึงคราว Jurassic World ที่เซอร์ไพร์สแต่เปิดโปรเจ็คด้วยการใช้ Colin Trevorrow ผู้กำกับสายอินดี้ที่กำกับหนังมาเรื่องเดียวคือ Safety Not Guaranteed (2012) ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของสตูดิโอ เพราะเล่าได้เพลิดเพลินมาก จนดูไม่ออกว่าทำหนังทุนสูงเป็นครั้งแรก ในอนาคตอาจไปได้สวยกว่าผุ้กำกับหลายคนด้วยซ้ำ เพราะบทหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะกำกับให้อินตามได้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าราวๆครึ่งชั่วโมงแรกมีประเด็นให้ไล่จดเยอะทีเดียว ทั้งธีมสำคัญของภาคแรกที่(คล้าย)จะนำมาต่อยอด, ปมดราม่าครอบครัวระหว่างสองพี่น้อง Zach และ Gray, ความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างพระเอกกับ Raptor, ปัญหาขัดแย้งในทัศนคติของ Owen – Claire – Hoskins – Simon และบลาๆๆ ที่ล้วนน่าสนใจในบทสรุปทั้งสิ้น แต่แล้วทันทีหลังเปลี่ยนโหมดเมื่อ I-Rex หลอกล่อจนหลุดออกมาง่ายดายเหลือเชื่อ คือถ้าจะพลาดกันขนาดนี้ก็อย่าทำกรงขังให้เหนื่อยดีกว่า (อุ๊บบบ ผ่านๆๆก่อน เด๋วบ่นยาว) ถัดมาก็เดินเครื่องสู่ความบันเทิงเต็มที่ เพื่อไม่มีเวลาหยุดให้คนดูตั้งคำถามได้ทัน เพราะจากนั้นมีแต่สิ่งที่ไม่มีคำตอบเต็มไปหมด รวมถึงไม่เข้าใจวิธีคิดและตัดสินใจของตัวละคร เช่น ทำไม Zach ที่มึนตึงกับน้องมาตลอด แต่ทันทีหลังโดดจากหน้าผา ก็กลายร่างเป็นพี่ชายที่แสนดี แสดงความห่วงใยรักไคร่น้องชายจนรุ้สึกขนลุกชูชันเป็นระยะ ไม่แน่ใจว่าใครเป็นตัวหมางเมินใครตอนต้นเรื่อง, Simon ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะบอสใหญ่และรวยมาก จู่ๆก็อาสาขับฮอไปแบบไม่ปรึกษาคนดู เพื่อไป….พร้อมตัวประกอบซะอย่างงั้น, Owen ที่เป็นคนยึดมั่นมีจุดยืนจนดูเท่ห์วัวหายความล้ม จู่ๆก็เลือกใช้งาน Raptor ง่ายดายโดยไม่จำเป็นและขาดแรงจูงใจอย่างแรง คล้ายได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองแบบพระเอกละครไทย, Claire ที่อาการหนักสุดในไคล์แม็กซ์ที่ตัดสินใจเปิดกรง T-Rex (หนังเรื่องนี้ทุกตัวละครหลักๆวิ่งเร็วทุกคนแหละ เผลอๆแวะเยี่ยวยังหนีทันเลย) อันนำมาสู่ไฮไลท์สะท้านโลกส่งออกจักรวาล คือฉากการดวล Dino-Fight ระหว่าง T-Rex กับ I-Rex ฉากนี้ถ้าเกิดมี กอลิล่ายักษ์ ของ Peter Jackson หรือ Bruce Banner กลายร่างเป็น Hulk มาช่วยเสริมอรรถรส ก็คงได้แต่เอามือทาบอกแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจผุ้สร้างละนะ
เอิ่มมม รีวิวต่อไปก็รังจะมีแต่จิกกัดหละ สรุปคือเวอร์ชั่น Jurassic World คือสูตรบล็อกบัสเตอร์ทั่วไป ที่พยามปูเนื้อหาในช่วง 20-40 นาทีแรกให้เราตายใจ ก่อนจะรวบรัดตัดตอนด้วยการมองข้ามเหตุผลและตรรกะเสียเฉยๆ สตูดิโออ่านขาดแล้วว่างานนี้ทำเงินชัวว์ๆ แม้จะเลอะเทอะแค่ไหนตราบใดที่บันเทิงจัดหนักเต็มที่ คนดูส่วนใหญ่ก็ชื่นชอบและยอมรับในข้อเสียโดยดี เพราะมันตอบโจทย์เชิงอารมณ์ได้ครบรสด้วยนั่นเอง ไม่ใช่แค่โชว์ความวายป่วงแบบหนังหุ่นยนตร์ฟัดกันเทือกนั้น ทั้งนี้ด้านงานภาพ CGI และเสียงประกอบ ก็อยู่ในมาตราฐานคุณภาพสมทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอให้รุ้สึกคุ้มค่าเสียเวลาและสตางค์แน่นอนครับ…. [คะแนน B -]