myadcash

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Jurassic World จูราสสิค เวิลด์

Jurassic World จูราสสิค เวิลด์
ประเด็นน่ารู้ภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World จูราสสิค เวิลด์ ที่นำมาให้อ่านกันวันนี้ สรุปย่อเรื่องราว เมื่อครั้ง Jurassic Park (1993) ที่ใช้ทุนสร้างในยุคนั้น 63 ล้านเหรียญ เพื่อสร้างไดโนเสาร์สู่จอภาพยนตร์อย่างมหัศจรรย์ สิ่งดีงามหลักๆมาจากหนังสือของ Michael Crichton (ที่ดูแลบทภาพยนตร์ด้วยตนเอง) เกี่ยวกับการที่มนุษย์ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า ด้วยการใช้อำนาจเงินและความรุ้วิทยาศาสตร์ คืนชีพเหล่าไดโนเสาร์มาอยู่ในสวนสัตว์สุดหรรษา การดำเนินเรื่องมีตัวละครที่สอดแทรกแง่มุมที่ชัดเจนทั้ง John Hammond (รับบทโดย Richard Attenborough) มหาเศรษฐีเจ้าของพาร์คที่เป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่คิดว่าการสานฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง จะนำพาสถานการณ์เลวร้ายบังเกิดขึ้น นอกจากนี้บรรดาด็อกเตอร์อย่าง Alan Grant (รับบทโดย Sam Neill), Ellie Sattler (รับบทโดย Laura Dern) และ Ian Malcolm (รับบทโดย Jeff Goldblum) ผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนง (ละเอียดขนาดมีฉากล้วงกองอุจจาระไดโนเสาร์เพื่อหาสาเหตุอาการป่วย) มอบสาระและการใคร่ตัดสินใจในการรับรองพาร์คแก่ผุ้ชมอย่างดี ด้านเด็กสองพี่น้อง Lex กับ Tim Murphy ก็สร้างสีสันและมีส่วนในการเล่าเรื่องไม่แพ้กัน (ลองหลับตาก็นึกภาพหนีตายในห้องครัวกันได้)
ด้วยฝีมือการกำกับของ Steven Spielberg ทุกนาทีมีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องราวและให้ฉากน่าจดจำมากมาย อารมณ์ในหนังไม่ว่าจะคอมเมดี้ ดราม่า ผจญภัย ระทึกขวัญ อยู่ในระดับลงตัวและเปี่ยมด้วยชั้นเชิง จากจังหวะในการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมของพ่อมดฮอลลีวู้ด คือจะดราม่า-คอมเมดี้ก็ไม่โยนเข้ามาจนรุ้สึกยัดเยียด หรือจะตื่นเต้นก็ไม่จำเป็นต้องโฉ่งฉ่าง (หลายคนคงจำช็อตน้ำในแก้วสั่นกระเพื่อมๆ จากแรงสะเทือนในการเปิดตัว T-Rex ได้แน่นอน) ส่วนตัวแสบ Raptor ก็จะบิ้ลทีละน้อยเป็นช่วงๆก่อนจะเปิดตัวเช่นกัน เป็นการหยอกเย้าจินตนาการของคนดูอย่างมีลีลาในแบบงานของผุ้กำกับยุคก่อน ประเด็นสำคัญที่ตอกย้ำมาทั้งเรื่องอย่างความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ในมุมหนึ่งอาจนำซึ่งหายนะและความสูญเสียเช่นกัน หากอยู่ในมือของคนที่นำมาใช้ด้วยความยะโสโอหัง ไม่ไตร่ตรองถึงผลกระทบที่ตามมา ..ด้วยความพร้อมสรรพดังกล่าว Jurassic Park จึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งรายได้ที่ทำเงินเป็นสถิติสูงสุด 914 ล้าน (ย้ำว่าในยุคนั้นนะ รอจนปี 1997 ถึงมี Titanic มาโค่นได้) ด้านคำวิจารณ์หนังเข้าชิงออสการ์สามตัว และคว้าไปได้ทั้งหมดในสาขา Sound Effects, Visual Effects และ Best Sound ครับ…. [คะแนน B+]
ผ่านมาเนิ่นนานจากภาคแรกถึง 22 ปี ก็ถึงคราว Jurassic World ที่เซอร์ไพร์สแต่เปิดโปรเจ็คด้วยการใช้ Colin Trevorrow ผู้กำกับสายอินดี้ที่กำกับหนังมาเรื่องเดียวคือ Safety Not Guaranteed (2012) ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของสตูดิโอ เพราะเล่าได้เพลิดเพลินมาก จนดูไม่ออกว่าทำหนังทุนสูงเป็นครั้งแรก ในอนาคตอาจไปได้สวยกว่าผุ้กำกับหลายคนด้วยซ้ำ เพราะบทหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะกำกับให้อินตามได้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าราวๆครึ่งชั่วโมงแรกมีประเด็นให้ไล่จดเยอะทีเดียว ทั้งธีมสำคัญของภาคแรกที่(คล้าย)จะนำมาต่อยอด, ปมดราม่าครอบครัวระหว่างสองพี่น้อง Zach และ Gray, ความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างพระเอกกับ Raptor, ปัญหาขัดแย้งในทัศนคติของ Owen – Claire – Hoskins – Simon และบลาๆๆ ที่ล้วนน่าสนใจในบทสรุปทั้งสิ้น แต่แล้วทันทีหลังเปลี่ยนโหมดเมื่อ I-Rex หลอกล่อจนหลุดออกมาง่ายดายเหลือเชื่อ คือถ้าจะพลาดกันขนาดนี้ก็อย่าทำกรงขังให้เหนื่อยดีกว่า (อุ๊บบบ ผ่านๆๆก่อน เด๋วบ่นยาว) ถัดมาก็เดินเครื่องสู่ความบันเทิงเต็มที่ เพื่อไม่มีเวลาหยุดให้คนดูตั้งคำถามได้ทัน เพราะจากนั้นมีแต่สิ่งที่ไม่มีคำตอบเต็มไปหมด รวมถึงไม่เข้าใจวิธีคิดและตัดสินใจของตัวละคร เช่น ทำไม Zach ที่มึนตึงกับน้องมาตลอด แต่ทันทีหลังโดดจากหน้าผา ก็กลายร่างเป็นพี่ชายที่แสนดี แสดงความห่วงใยรักไคร่น้องชายจนรุ้สึกขนลุกชูชันเป็นระยะ ไม่แน่ใจว่าใครเป็นตัวหมางเมินใครตอนต้นเรื่อง, Simon ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะบอสใหญ่และรวยมาก จู่ๆก็อาสาขับฮอไปแบบไม่ปรึกษาคนดู เพื่อไป….พร้อมตัวประกอบซะอย่างงั้น, Owen ที่เป็นคนยึดมั่นมีจุดยืนจนดูเท่ห์วัวหายความล้ม จู่ๆก็เลือกใช้งาน Raptor ง่ายดายโดยไม่จำเป็นและขาดแรงจูงใจอย่างแรง คล้ายได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองแบบพระเอกละครไทย, Claire ที่อาการหนักสุดในไคล์แม็กซ์ที่ตัดสินใจเปิดกรง T-Rex (หนังเรื่องนี้ทุกตัวละครหลักๆวิ่งเร็วทุกคนแหละ เผลอๆแวะเยี่ยวยังหนีทันเลย) อันนำมาสู่ไฮไลท์สะท้านโลกส่งออกจักรวาล คือฉากการดวล Dino-Fight ระหว่าง T-Rex กับ I-Rex ฉากนี้ถ้าเกิดมี กอลิล่ายักษ์ ของ Peter Jackson หรือ Bruce Banner กลายร่างเป็น Hulk มาช่วยเสริมอรรถรส ก็คงได้แต่เอามือทาบอกแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจผุ้สร้างละนะ
เอิ่มมม รีวิวต่อไปก็รังจะมีแต่จิกกัดหละ สรุปคือเวอร์ชั่น Jurassic World คือสูตรบล็อกบัสเตอร์ทั่วไป ที่พยามปูเนื้อหาในช่วง 20-40 นาทีแรกให้เราตายใจ ก่อนจะรวบรัดตัดตอนด้วยการมองข้ามเหตุผลและตรรกะเสียเฉยๆ สตูดิโออ่านขาดแล้วว่างานนี้ทำเงินชัวว์ๆ แม้จะเลอะเทอะแค่ไหนตราบใดที่บันเทิงจัดหนักเต็มที่ คนดูส่วนใหญ่ก็ชื่นชอบและยอมรับในข้อเสียโดยดี เพราะมันตอบโจทย์เชิงอารมณ์ได้ครบรสด้วยนั่นเอง ไม่ใช่แค่โชว์ความวายป่วงแบบหนังหุ่นยนตร์ฟัดกันเทือกนั้น ทั้งนี้ด้านงานภาพ CGI และเสียงประกอบ ก็อยู่ในมาตราฐานคุณภาพสมทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอให้รุ้สึกคุ้มค่าเสียเวลาและสตางค์แน่นอนครับ…. [คะแนน B -]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น